BLOGGER TEMPLATES - TWITTER BACKGROUNDS

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีแก้เคราะห์ ของแผ่นดิน





  
                           สัปดาห์ที่แล้ว นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัด ทำบุญใหญ่ 5 ศาสนา ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อทำบุญประเทศ ข่าวว่ามีเกจิ อาจารย์ทายทัก ฮวงจุ้ยไม่ดี หากไม่ทำบุญใหญ่ บ้านเมืองจะเกิดความ วุ่นวาย พระพรหม ที่สถิตอยู่บนยอดตึกไทยคู่ฟ้า อาจไม่คุ้มครองทำเนียบรัฐบาล ว่ากันไปโน่น

วัน เสาร์สบายๆวันนี้ผมเลยขอนิมนต์ธรรมะข้อคิดของท่าน ว.วชิรเมธี พระชื่อดังจากหนังสือ ลายแทงแห่งความสุข มาถ่ายทอดสู่กันฟัง เพื่อประเทืองปัญญาคณะรัฐมนตรีและพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย

ขอเชิญสดับ ฟังได้ ณ บัดนี้
"ในบ้านเมืองที่วัฒนธรรมทาง ปัญญายังไม่เข้มแข็ง "ปัญหา" จะถูกเรียกว่า "เคราะห์" วิธีแก้ปัญหาจึงถูกออกแบบมาให้เป็นการ "สะเดาะเคราะห์" และการ "ทำบุญประเทศ" ครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่เคยสังเกตบ้างไหมว่า ยิ่งสะเดาะเคราะห์ ทว่ากลับดูเหมือนเคราะห์ จะหนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังขยายขอบเขตกว้างขวางออกไป จนกลายเป็นเคราะห์กรรมของคนทั้งแผ่นดิน

ใน บ้านเมืองที่วัฒนธรรมทางปัญญาเข้มแข็ง "ปัญหา" จะถูกยอมรับในฐานะที่เป็น  "วิกฤติ"   (ไม่เกี่ยวกับดวงชะตา-ฮวงจุ้ย-คุณไสย-คู่อริกลับชาติมาเกิดเพื่อ ราวีกัน) ดังนั้น วิธีแก้ปัญหาจึงเน้นการ "วิเคราะห์" อันนำไปสู่การอธิบายปัญหาอย่างเป็นเหตุเป็นผล   (หรือเป็นวิทยาศาสตร์ หรือเป็นไปตามหลักเหตุปัจจัยที่ว่า  "สิ่งนี้มี–สิ่งนี้จึงมี")   และนำไปสู่กระบวนการแก้ไขอย่างตรงประเด็นและยั่งยืน ไม่ใช่แก้ปัญหาเก่าเพื่อสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาแทนที่ เหมือนที่บางประเทศนิยมทำกัน

ความแตกต่างในวิธีการมองปัญหา และแก้ปัญหาของสองโลกทัศน์นี้อยู่ตรงที่

1. หากมองปัญหาว่าเป็น "เคราะห์" วิธีแก้ปัญหาจะหนักไปทาง "สะเดาะเคราะห์" และตัวปัญหาจะกลายเป็น "มือที่มองไม่เห็น" โดยที่ไม่เกี่ยวกับ "คน" และ "คน" ไม่เคยเป็นปัญหา หากแต่ปัญหาคือ "อะไรก็ไม่รู้" ซึ่ง "มองไม่เห็น" และเจ้า "อะไรก็ไม่รู้" นี่เอง ที่คอยเล่นงานประเทศไทยให้วุ่นวายไม่รู้จบ

ส่วน "คน" ไม่ต้องแก้ไขอะไร ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร นี่คือ วิธีแก้ ปัญหาแบบปัดความรับผิดชอบ หรือแก้ปัญหาแบบไม่แก้ปัญหา และดังนั้น ปัญหาจึงไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างเป็นจริงเป็นจัง อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และอย่างที่คนผู้มีปัญญาจะพึงกระทำกัน

2. หากมองปัญหาว่าเป็น "วิกฤติ" วิธีแก้ปัญหาจะหนักไปทาง "วิเคราะห์" เพื่อแยกแยะหาสาเหตุแห่งปัญหา หรือ "วิจัย" เพื่อแสวงหาคำตอบอย่างเป็นเหตุเป็นผล มีหลักฐาน หลักวิชาการรองรับ และ

นำ ไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างตรงประเด็น ยั่งยืน และผู้ที่เป็นตัวปัญหา จะเป็นสิ่งที่สามารถหยิบจับสัมผัสได้ อธิบายได้ มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และการแก้ปัญหาจะใช้ "คน" เป็นหลัก ไม่มีการปัดความรับผิดชอบไปให้สิ่งอื่นที่นอกเหนือมนุษย์ออกไป

ดัง นั้น เมื่อแก้ปัญหาด้วยวิธีการแห่งปัญญาจบแล้ว ก็จึงเป็นอันจบ

ใน บ้านเมืองที่ คนมีวัฒนธรรมทางปัญญาไม่เข้มแข็ง ประชาชนจะอยู่กันด้วย "ความรู้สึก" และมากไปด้วย "ความขัดแย้ง" พร้อมมี "ความริษยา" คนเก่ง คนดี ซึ่งเมื่อประชาชนมากไปด้วย "ความ รู้สึก" อุดมไปด้วย "ความขัดแย้ง" ซ้ำยังมี "ความริษยา" เข้มข้น ประชาชนก็จะ "แตกความสามัคคี" และนำไปสู่ "สงครามกลางเมือง" อย่างง่ายดาย..."

บทความเรื่อง เคราะห์กรรมของแผ่นดิน นี้ท่าน ว.วชิรเมธีเขียนเตือนเมื่อเดือนมีนาคม 2552 แล้ว "สงครามกลางเมือง" ก็มาเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง หนึ่งปีเศษหลังจากที่ท่านได้เขียนเตือนแล้ว

ผมก็ขอฝากข้อคิดของ ว.วชิรเมธี ไว้ตรงนี้ เพื่อเตือนสติคนไทยทุกคน   ฝากไปยัง   นายกฯอภิสิทธิ์   เวชชาชีวะ   เพื่อนำไปเป็น  "ฐานปัญญา"   ของ  รัฐบาลและคณะรัฐมนตรี   เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองอย่างยั่งยืน.


ที่มา..Dhamma today. นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 20 มิถุนายน 2553
โดย..ลม เปลี่ยนทิศ
  

0 ความคิดเห็น:

ผู้ติดตาม